ผู้เสียหายกว่า 50 คน ร้องเอาผิดร้านทอง ตุ๋นลงทุนสูญกว่า 700 ล้าน หลงเชื่อเพราะมีนางงามคนดังร่วมโปรโมต

เหยื่อครึ่งร้อยร้องกองปราบ เอาผิดร้านทองสระบุรี ตุ๋นลงทุนสูญกว่า 700 ล้าน แรกๆ ยังจ่ายดี ก่อนหายเงียบ เหตุหลงเชื่อเพราะมีนางงามคนดังร่วมโปรโมตด้วย

เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 22 ธ.ค.65 ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กลุ่มผู้เสียหายกว่า 50 คน เดินทางเข้า พ.ต.อ.มิ่งมนตรี ศิริพงษ์ ผกก.กลุ่มงานสอบสวน บก.ป. เพื่อแจ้งเอาผิด เจ้าของร้านทองชื่อดังแห่งหนึ่งที่ จ.สระบุรี หลังถูกหลอกให้ร่วมลงทุนและเป็นตัวแทนหาผู้มาร่วมลงทุนออมทองผ่านเฟซบุ๊ก ก่อนเชิดเงินหนี เสียหายรวมกันแล้วกว่า 700 ล้านบาท


น.ส.เอ (นามสมมติ) หนึ่งในกลุ่มตัวแทนผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนพบเห็นเพจเฟซบุ๊กเพจหนึ่ง โพสต์โฆษณาชักชวนให้นำเงินมาร่วมลงทุนออมทอง อ้างได้ค่าตอบแทนสูง อาทิ ลงทุนระยะสั้น 23,000 บาท ครบ 1 เดือน ก็จะได้รับทองคำหนัก 1 บาท นอกจากนี้ยังชักชวนให้เป็นตัวแทนหาสมาชิกมาร่วมลงทุน โดยจะได้ค่านายหน้า 300 บาท ต่อการลงทุนทองคำ 1 บาท

ช่วงแรก ๆ ตนเห็นว่าได้รับทองคำ หรือ ค่าตอบแทนจริง ประกอบกับเห็นว่ามีที่ตั้งร้านทอง หรือหน้าร้านอยู่ที่ อ.เมือง จ.สระบุรี จริง รวมถึงเคยมีการเชิญ “อิงฟ้า วราหะ” มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2022 พร้อมมิสแกรนด์จากจังหวัดต่างๆ มาร่วมงานโปรโมตร้าน จนทำให้ดูน่าเชื่อถือ จึงหลงเชื่อชักชวนคนรู้จักมาร่วมลงทุนกันเป็นจำนวนมาก

น.ส.เอ ให้การต่อว่า ช่วงแรกๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร จนมาเมื่อต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา กลับเริ่มไม่จ่ายเงินค่าตอบแทน รวมถึงส่งมอบทองคำให้กับผู้ลงทุน ก็พยายามสอบถาม แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง โดยผู้ก่อเหตุได้นัดหมายคืนเงินลงทุนให้พวกตนภายในวันนี้ แต่สุดท้ายกลับเงียบหายไม่สามารถติดต่อได้ จึงตัดสินใจรวมตัวกันมาเข้าแจ้งความที่กองปราบฯ


ด้าน น.ส.บี (นามสมมติ) หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า ตนเป็นตัวแทนจัดหาสมาชิก มีลูกข่ายประมาณ 300-400 ราย ยอดเงินลงทุนรวมกว่า 55 ล้านบาท ซึ่งการกระทำของเจ้าของร้านทองดังกล่าว สร้างความเสียหายให้กับตนเป็นอย่างมาก จึงเดินทางมาเข้าแจ้งความ พร้อมกับผู้เสียหายอีกหลายสิบคน เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วย ทั้งนี้ตนอยากฝากถึงเจ้าของร้านทอง หรือ เจ้าของเพจว่า ออกมาแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้นจะดีกว่า ไม่ใช่หนีหายขาดการติดต่อไปแบบนี้

เบื้องต้น พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบปากคำผู้เสียหายไว้เป็นหลักฐาน ก่อนเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง จากนั้นก็จะเสนอให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป