นายกฯประชุมศบค.วางมาตรการคุมโควิด-19ก่อนผ่อนปรนล็อคดาวน์

นายกรัฐมนตรีประชุม ศบค. พิจารณาแนวทางผ่อนคลายมาตรการและผลการดำเนินการการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด 19 ให้ทุกหน่วยงานพิจารณาผลดีผลเสียอย่างรอบคอบ

วันที่ 20 เมษายน 256 เวลา 09.30 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) โดยที่ประชุมได้นำเสนอผลการดำเนินการของแต่ละด้านที่สำคัญ ดังนี้
ด้านมาตรการสาธารณสุข ได้นำเสนอภาพรวมการระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกและประเทศไทย ของไทยกำหนดกลุ่มตรวจเฉพาะให้มากขึ้น โดยใช้พัฒนาการตรวจ เช่น ตรวจสายน้ำเกลือ และจากการประเมินสถานการณ์ การเปรียบเทียบกราฟ เห็นว่าแนวโน้มลดลง

ด้านมาตรการลดการแพร่เชื้อภายในประเทศ กระทรวงสาธารณสุขใช้มาตรการค้นหา และลดจำนวนคนแพร่เชื้อในชุมชน ร่วมกับมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อในโรงพยาบาล ลดความหนาแน่น จัดระบบแยกผู้ป่วย และป้องกันบุคคลากรแพทย์ แต่ต้องควบคู่กับมาตรการเว้นระยะห่างระหว่างกัน (Social Distancing) อย่างเข้มข้น

ในส่วนของปริมาณหน้ากาก N95 และชุด PPE ยังนับว่าเพียงพอสำหรับการใช้ในปัจจุบัน และรองรับได้ในอนาคต ส่วนเตียงผู้ป่วยเมื่อพิจารณาจากสถิติ ที่คาดว่าจำนวนผู้ใช้จะลดลง จึงยังคงมีเพียงพอ สำหรับความจำเป็นในการใช้งาน
ในส่วนของความก้าวหน้าด้านการวิจัย
1. การใช้ฟ้าทะลายโจรในการต้านการเพิ่มไวรัสในเซลล์ แนะนำให้ใช้เพื่อป้องกัน และเมื่อมีความต้องการแต่ไม่ควรรับประทานเกิน 5 วัน
2. การพัฒนาวัคซีนทั้งในประเทศ และความร่วมมือกับต่างประเทศ เช่น จีน คาดว่าจะพัฒนาได้ภายในปีครึ่ง
3. ตอนนี้เริ่มมีการทดลองวิจัยการนำพลาสม่าไปใช้รักษาผู้ป่วย
4. การศึกษา Exit Strategy มีการพิจารณาจากตัวอย่างของต่างประเทศ ในส่วนภายในประเทศ นักวิชาการร่วมกันศึกษา พัฒนาแบบจำลองบูรณาการระบบการแก้ไขปัญหาเพื่อการตัดสินใจทางนโยบายต่อไป
5. ศึกษา ความชุก และอุบัติการณ์ของการติดเชื้อ
6. ศึกษาเกี่ยวกับยาฟาวิพิราเวีย
ด้านการต่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้รายงานในส่วนของมาตรการเดินทางเข้า-ออกไทยของคนไทยและคนต่างชาติ กระทรวงการต่างประเทศได้ออกหนังสือรับรอง การเดินทางทางอากาศ และขอความร่วมมือให้อำนวยความสะดวกให้คนไทยตกค้าง ในต่างประเทศเดินทางกลับไทยโดยเที่ยวบิน Cargo และเที่ยวบินต่างชาติที่มารับคนชาติของตนในไทย โดยระหว่างวันที่ 4 เมษายน –15 เมษายน 2563 รวม 14 เที่ยวบิน และระหว่างวันที่ 16 เมษายน –19 เมษายน 2563 รวม 8 เที่ยวบิน รวมทั้งสิ้น 22 เที่ยวบิน จำนวนคนไทย 1,326 คน ทั้งนี้ การผ่านจุดผ่านแดนทางบก 18 เมษายน 2563 กลับสู่ประเทศไทยแล้ว 685 คน จากด่านสุไหงโกลก / สะเดา ในส่วนแผนรองรับแรงงานต่างด้าวได้กำหนดจำนวนที่จะเข้ามาได้ในแต่ละวันที่รัฐบาลสามารถดูแลได้ และทุกกลุ่มต้องทำตามเงื่อนไขในการออกใบรับรองเข้าราชอาณาจักรของไทยด้วย

กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการกระจายหน้ากากและเวชภัณฑ์สำหรับประชาชน ผ่านมาตรการช่วยเหลือและป้องกัน ด้านการคัดกรอง มาตรการการเดินทางเข้าออกทางบกผ่านจุดผ่านแดนถาวรทั้ง 40 จุด มีการคัดกรองทุกจุด และความพร้อมในมาตรการ Local Quarantine นั้น รองรับได้ 20,941 คน ทั้งนี้ มหาดไทยได้ปรับเวลาร้านสะดวกซื้อให้เป็นไปตามมาตรการเคอร์ฟิว คือปิดร้านในเวลา 22.00-04.00 น. รวมทั้งได้มีการแจ้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการตามข้อกำหนดเพื่อจัดระเบียบการบริจาคของแก่ประชาชนให้เป็นไปตามหลักการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคฯ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ขอให้พิจารณาด้านการขนส่งสินค้าที่มีข้อกำหนดและการอนุญาตไว้แล้ว ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเพื่อให้ความช่วยเหลือ พิจารณาอนุญาตเป็นรายๆไป โดยเฉพาะแก่ประชาชนในพื้นที่เดือดร้อน ที่มีความจำเป็นในการส่งสินค้าเพื่อเลี้ยงชีพ

กระทรวงกลาโหม ได้รายงานถึงการดำเนินการ State Quarantine.ว่ามีเอกชนประสงค์เข้าร่วม ซึ่งหน่วยงานพิจารณาร่วมกันเพื่อความปลอดภัยและเหมาะสม คือ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รายงานสรุปผลการกระจายหน้ากากอนามัย ตั้งแต่ 30 มี.ค. – 19 เม.ย. 2563 จำนวน 37,497,550 ชิ้น

ตอนท้าย นายกรัฐมนตรีขอบคุณการดำเนินงานของทุกหน่วยงาน นายกรัฐมนตรีได้ตรวจเยี่ยม เพื่อให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ พบว่าทุกพื้นที่มีความเรียบร้อยดี ขอขอบคุณฝ่ายมั่นคงที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชนอย่างดี ทั้ง ทหาร ตำรวจ พลเรือน กทม. สาธารณสุข ขอบคุณทุกคน ที่เสียสละเวลามาปฏิบัติหน้าที่

สำหรับเรื่องการผ่อนคลายมาตรการนายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางและข้อพิจารณา โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข หากสถานการณ์ดีขึ้นตามหลักเกณฑ์จะมีการผ่อนปรนในส่วนใดได้บ้าง โดยในภาพรวมให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหลัก ผ่านการวิเคราะห์ ศึกษาทางสถิติ

พิจารณาว่ากิจกรรมประเภทใดบ้างที่ผ่อนปรนได้ เพื่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพบางประเภทได้ ให้ประชาชนมีรายได้ โดยอาจจะต้องกำหนดข้อจำกัดเพิ่มเติม อาทิ การเปิดตลาด ประเภทใดที่เปิดได้บ้าง ดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดและการผ่อนคลายมาตรการต่างๆ และสั่งการให้ทุกหน่วยงานภายใต้การดูแลของหน่วยงานตนเองหากมีมาตรการผ่อนคลายจะต้องมีมาตรการเพิ่มเติมเช่นไร ในการปลดล็อคจะต้องมีมาตรการดำเนินการเป็นขั้นเป็นตอน ที่ยังกำหนดอยู่ รวมทั้งพิจารณามาตรการตรวจสอบ การคัดกรอง ให้เหมาะสม รวมทั้งการดำเนินการทุกอย่างให้ยังคงเป็นไปตามหลักการ Social Distancing และประชาชนคงเห็นความสำคัญในการดำเนินมาตรการที่ชัดเจน จะได้เกิดความไว้วางใจ ร่วมมือกับรัฐบาล มาตรการ Work From Home ที่ยังต้องใช้จะปรับอย่างไรให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน

นายกรัฐมนตรีได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเกี่ยวกับการตรวจเพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อ ให้เพิ่มการตรวจให้เข้มข้นในกลุ่มเสี่ยง ทำการสำรวจกลุ่มคนทำงานที่พบเจอคนจำนวนมาก เช่น แม่ค้า กลุ่มคนที่เคยตรวจไปแล้ว อาจพิจารณาตรวจอีกรอบเพื่อให้มั่นใจ ตลอดจนพิจารณาการสุ่มตรวจแรงงาน ทั้งนี้ ให้สาธารณสุขชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับความก้าวหน้าการวิจัย ให้ประชาชนทราบ รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับการ Re-use หน้ากาก N95

ในส่วนของการเดินทางเข้าประเทศ นายกรัฐมนตรีสั่งการให้ สถานเอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ ชี้แจงให้คนไทยให้ทราบถึงขั้นตอน การดำเนินการเมื่อการเดินทางกลับต้องเข้ากระบวนการ State Quarantine และ Local Quarantine ของไทย และขอให้กระชับกระบวนการรับคนที่สนามบินให้รวดเร็วขึ้น แต่ต้องมีความปลอดภัย ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงได้รายงานว่าแก้ไขแล้ว และจะใช้เวลาเพียง 40 นาที รวมทั้ง ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด แก้ปัญหาการเดินทางกลับเข้าประเทศไทยทางบกเพื่อไม่ให้กระทบความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน กำหนดในการเดินทางเข้าทางบกผ่านแดนทางภาคใต้ วันละ 350 คน โดยให้ช่วยกันบริหารจัดการให้ดี ระมัดระวังด้านความปลอดภัย หากทำให้ได้มากก็จะผ่อนคลายความตึงเครียดของคนไทยที่อยากเดินทางกลับบ้าน
ส่วนการดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจจำเป็นต้องเดินคู่ขนานกันไป ทั้งการแก้ปัญหาในแต่ละภาคส่วน การร่วมกันทำ Big Data เพื่อทำให้ได้ข้อมูลเดียวกันในทุกส่วนงานมาพิจารณาเพื่อดูแลเรื่องการเยียวยา ฟื้นฟู ทั้งปัจจุบัน และอนาคต