สธ.เผยฉีดวัคซีนโควิดวันมหิดลได้ 1.3 ล้านโดส ยอดสะสมเกิน 50 ล้านโดส ครึ่งทางเป้า 100 ล้านโดส ต.ค.เป็นต้นไปจะฉีดเดือนละกว่า 20 ล้านโดส คาดฉีดเข็ม 2 ครอบคลุมถึง 74% สิ้นปีนี้

วันนี้ (25 กันยายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงข่าวผลการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั่วไทยและแผนการฉีดวัคซีนระยะต่อไปตามเป้าหมาย โดยนายอนุทินกล่าวว่า วันมหิดล 24 กันยายนปีนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้จัดกิจกรรมรณรงค์ฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ครบ 1 ล้านโดส ถวายเป็นพระราชกุศลและสำนึกในพระกรุณาธิคุณสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน ด้วยความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขและประชาชน ทำให้สามารถฉีดได้มากกว่า 1.3 ล้านโดส และเริ่มให้บริการวัคซีนเข็ม 3 แก่ผู้รับวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม เพื่อเสริมภูมิต้านทานต่อสายพันธุ์เดลตา โดยสามารถฉีดได้ 1.5 แสนกว่าคน จึงขอประชาชนทุกคนที่รับวัคซีนซิโนแวค 2 เข็มตั้งแต่มีนาคม-มิถุนายน ขอให้มารับการฉีดเข็ม 3 ตามนัดหมาย

          “ขอขอบคุณประชาชนและทุกภาคส่วนที่ให้ความร่วมมือในการป้องกัน ควบคุมโรค รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ทุ่มเทเสียสละอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการให้บริการประชาชนอย่างสุดความสามารถ มั่นใจว่าเราจะไม่ท้อถอย จะต่อสู้กับโรคนี้และเอาชนะได้ในที่สุด” นายอนุทินกล่าว

นายอนุทินกล่าวว่า สำหรับการจัดหาวัคซีนเป็นไปตามเป้าหมาย จนถึงสิ้นปี 2564 จะมีวัคซีนรวม 125 ล้านโดส และตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป จะเร่งฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม เพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติสุข ผลักดันเศรษฐกิจ และสร้างสังคมให้แข็งแกร่งกลับมาโดยเร็ว ส่วนการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป ขอให้พ่อแม่ผู้ปกครองพิจารณาให้บุตรหลานวัยเรียนอายุ 12-18 ปี มารับวัคซีนไฟเซอร์ เพื่อให้เปิดการเรียนการสอนโดยเร็วที่สุด ซึ่งการฉีดวัคซีนมีประโยชน์และคุ้มค่ากว่าการไม่ฉีด ส่วนการจัดหาวัคซีนปีหน้า มีความเพียงพอ นำมาใช้ฉีดกระตุ้นภูมิคุ้มกันเพียงเข็มเดียว โดยจะฉีดกระตุ้นไปเรื่อยๆ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น โรคโควิดลดความรุนแรงลง ร่วมกับใช้มาตรการป้องกันแพร่เชื้อ ก็จะควบคุมสถานการณ์ได้ในที่สุด

ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เฉพาะวันที่ 24 กันยายนเนื่องในวันมหิดล ฉีดวัคซีนโควิด 19 ทั่วประเทศรวม 1,300,677 โดส เป็นเข็มแรก 841,769 โดส เข็มที่สอง 309,429 โดส และเข็มสาม 149,479 โดส โดยมี 7 เขตสุขภาพที่ฉีดได้เกิน 1 แสนโดส มากที่สุดคือเขตสุขภาพที่ 6 จำนวน 148,887 โดส โดย กทม.ฉีดมากที่สุด 64,880 โดส รองลงมาคือชลบุรี 48,316 โดส อุดรธานี 47,110 โดส นครราชสีมา 44,863 โดส และเชียงใหม่ 39,214 โดส ทั้งนี้ ประเทศไทยฉีดวัคซีนมาถึงครึ่งทางจากเป้าหมาย 100 ล้านโดส ครอบคลุม 50 ล้านคน ปัจจุบันฉีดได้ 50,080,565 โดส เป็นเข็มแรก 44.45% ครอบคลุมทุกกลุ่มประชากร

นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า วันนี้มีผู้ป่วยหายกลับบ้าน 14,700 คน สะสม 1,408,602 คน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 11,975 คน มาจากต่างประเทศ 19 คน และติดเชื้อในประเทศ 11,956 คน แนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับผู้ป่วยอาการรุนแรงและใส่เครื่องช่วยหายใจก็ลดลง ซึ่งมาตรการต่างๆ ทั้งการป้องกันตนเองตลอดเวลา และการฉีดวัคซีนจะช่วยลดจำนวนผู้เสียชีวิตได้ โดยตั้งแต่เดือนกันยายนฉีดเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และเมื่อปรับสูตรการฉีดเป็นสูตรไขว้ซิโนแวคตามด้วยแอสตร้าเซนเนก้าจะทำให้การฉีดเข็ม 2 ได้ครอบคลุมเร็วขึ้น โดยเดือนตุลาคมจะฉีดให้ได้ 30 ล้านคน คิดเป็น 45% เดือนพฤศจิกายน 42 ล้านคน คิดเป็น 60% และธันวาคม 52 ล้านคน คิดเป็น 74% ถือว่าเกินแผนและเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงจะทยอยฉีดวัคซีนเข็ม 3 ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน ประเทศไทยจะเข้าสู่ความปลอดภัยจากโควิดอีกประเทศในโลก

เมื่อวานนี้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการสาธารณสุข พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดให้บริการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต จ.นนทบุรี และสถานีกลางบางซื่อ และให้สัมภาษณ์ว่า เนื่องในวันนี้เป็นวันมหิดลซึ่งเป็นวันที่มีความหมายกับวงการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก “พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบัน” ที่ทรงมีคุณูปการอันใหญ่หลวงต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีเจตนารมณ์รณรงค์ให้ประชาชนทั่วประเทศเข้ารับการฉีดโควิด 19 ให้ได้ 1 ล้านโดส โดยจากการลงพื้นที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต จ.นนทบุรี มีการระดมทีมบุคลากรทางการแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุข พื้นที่อ.บางใหญ่ และอ.บางบัวทอง ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาครัฐและเอกชน ให้บริการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็ม 2 แก่ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย 11,954 คน และฉีดกระตุ้นเข็ม 3 จำนวน 500 คน รวมทั้งสิ้น 12,454 คน ซึ่งในวันนี้เริ่มการรณรงค์ฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ให้กับผู้ที่ฉีดวัคซีนชิโนแวคครบ 2 เข็มในเดือนมี.ค.-พ.ค. ซึ่งหลังฉีดวัคซีนเข็ม 2 แล้ว 6 เดือนภูมิคุ้มกันอาจลดลง กระทรวงสาธารณสุขจึงฉีดวัคซีนกระตุ้นเพื่อเสริมภูมิคุ้มกันแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง


ส่วนศูนย์ฉีดวัคซีนสถานีกลางบางซื่อ ในวันนี้ได้เริ่มให้บริการฉีดเข็มกระตุ้นเป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าแก่ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนซิโนแวคเข็ม 1 และ 2 จากศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ จำนวน 15,000 คน และจะทยอยฉีดจนครบ 150,000 คน โดยใช้ฐานข้อมูลเดิมในการส่ง SMS ให้กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว เพื่อนัดหมายวันเวลาฉีดวัคซีนล่วงหน้า


นายอนุทินกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มฉีดวัคซีนให้กับประชาชนจนถึงปัจจุบันแล้วกว่า 2 เดือน ขณะนี้ฉีดได้เกินกว่า 47 ล้านโดส หากเป็นไปตามแผนคาดว่าภายในสิ้นเดือนต.ค.นี้จะฉีดได้เกิน 50 ล้านโดส คาดสิ้นปีนี้คนไทยจะได้รับวัคซีนตามเป้าหมายครอบคลุม 70% ซึ่งจะทำให้การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อสามารถควบคุมสถานการณ์ได้จะมีความปลอดภัยระดับหนึ่ง จึงจะเริ่มผ่อนคลายมาตรการต่างๆ เพื่อให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตให้เป็นปกติมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
“กระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าวัคซีนที่ประชาชนทุกคนได้รับมีคุณภาพและปลอดภัย แม้วัคซีนจะไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ 100 % แต่คุณสมบัติที่ดีที่สุดของวัคซีนคือสามารถป้องกันอาการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิตได้ แม้ได้รับวัคซีนแล้วยังต้องคงพฤติกรรม ล้างมือ เว้นระยะห่าง และสวมหน้ากากอนามัย เพื่อให้ทุกคนสามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติสุขได้โดยเร็ว” นายอนุทินกล่าว