รมว.เกษตรฯสั่งที่ปรึกษากฎหมายเข้าร้องตำรวจสอบสวนกรณีเจ้าหน้าที่ส.ป.ก 4-01 ปักหมุดในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่

ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยในรายการ “เรื่องดังหลังข่าว” ทางNBT2ว่า ได้มอบหมายให้นายธนดล สุวณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษากฎหมายเข้ายื่นเรื่องกับพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ให้ดำเนินคดีกับข้าราชการ ส.ป.ก.ที่มีหน้าที่ในการสอบสวนและออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เขตพื้นท่สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม(ส.ป.ก.4-01) จังหวัดนคราชสีมาก ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนการ วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ เวลา 13.00 น.  เพราะได้ข้อมูลเบื้อต้นว่า มีความไม่ชอบมาพากลในการออกเอกสารสิทธิดังกล่าว ส่อไปในทางทุจริต มีกระทำการตอนช่วงเวลาเลือกตั้งเปลี่ยนผ่านรัฐบาล และผู้ที่รับรับเอกสารสิทธิ์อาจไม่มีสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด โดยเชื่อว่าอาจมีไอ้โม้งอยู่เบื้องหลัง

ทั้งนี้วันที่ 21 กุมภาพันธ์ นายเศรษฐา ทวีวิน นายกรัฐมนตรี ได้เรียกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาดังกล่าวมาหารือที่ทำเนียบรัฐบาล หลังการหารือพร้อมด้วยนายวิณะโรจน์ นายจตุพร นายอรรถพล และ พล.ท.ชาคร ร่วมกันแถลงภายหลังหารือ โดย ร.อ.ธรรมนัส แถลงว่า นายกฯได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ต.หมูสี ซึ่งตนในฐานะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ กำกับดูแล ส.ป.ก. และปลัดกระทรวง ทส. ดูแลกรมอุทยานฯ เจ้ากรมแผนที่ทหาร รวมถึงเลขาธิการ ส.ป.ก. ได้หารือกันตามที่นายกฯมอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือกัน ทั้งนี้ สรุปตามที่ได้หารือกับนายกฯ ซึ่งนายกฯได้สั่งการให้ตนนำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแถลงให้สาธารณชนรับทราบ

โดยจากข้อมูลที่ได้คุยกันในเบื้องต้น เรื่องแรก ตนยังยืนยันว่าพื้นที่ที่เกิดข้อพิพาท ตอนนี้เราจะไม่เถียงกันแล้วว่าเป็นพื้นที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานใด ซึ่งนายกฯกำชับให้กรมแผนที่ทหารเดินหน้าในการ-ทำเขตแนวพื้นที่ของรัฐ หรือ วันแมป เดินหน้าต่อไป ทางเจ้ากรมแผนที่ทหารได้รับปากนายกฯว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์ในการพิสูจน์พื้นที่ตรงนี้ ในส่วนของ ทส. และกษ. ต่อไปนี้จะมีข้อตกลงระหว่าง ส.ป.ก. กับกรมอุทยานฯ หากพิสูจน์มาแล้วว่าเป็นพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งตามหลักฐานเดิมตั้งแต่ปี 2527 มาถึง 2530 จนถึง 2534 เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน เมื่อเกิดปัญหาข้อพิพาทเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นพื้นที่ติดกัน เรียกว่าแนวกันชน ตนในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจะออกนโยบายว่าต่อไปนี้ พื้นที่ที่เป็นแนวกันชนหรือพื้นที่ติดประชิดกัน จะไม่จัดให้พี่น้องเกษตรกรทำกินอย่างเด็ดขาด นี่คือข้อตกลงที่ได้คุยกันไว้ทั้งสองหน่วยงาน

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า พื้นที่ที่มีปัญหา ตนได้มอบนโยบายให้เลขาธิการ ส.ป.ก.ไปยกเลิกให้หมดทุกแปลงที่ทำการแล้วรังวัดออกเอกสารสิทธิ์ ประเภท ส.ป.ก.4-01 ให้กับเกษตรกร ซึ่งเกษตรกรจะคือตัวจริงหรือไม่ใช่ตัวจริง เราได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากมีมูลก็จะตั้งคณะกรรมการดำเนินการเอาผิดทั้งวินัยและวินัยร้ายแรง และดำเนินคดีอาญา เบื้องต้นจะให้เลขาธิการ ส.ป.ก.ออกคำสั่งยกเลิกทั้งหมดในเอกสารที่ออกมา นี่คือข้อตกลง และแนวทางการทำงานในอนาคตจะมีการบันทึกข้อตกลง หรือเอ็มโอยูระหว่าง ส.ป.ก. กับกรมอุทยานฯ ในการที่จะกระทำการใดๆ ก็ตามในพื้นที่ที่เราจะจัดสรรให้กับพี่น้องเกษตรกรจะต้องมีคณะกรรมการเป็นรูปธรรม ต่อไปจะมอบให้ ส.ป.ก.จังหวัด ที่ประกอบด้วยทุกหน่วยงาน ทั้ง ส.ป.ก. กรมอุทยานฯ กรมป่าไม้ กรมธนารักษ์ และหน่วยงานของรัฐที่ดูแลพื้นที่ดินของรัฐทั้งหมด จะได้มีความโปร่งใส นี่คือสิ่งที่คุยกันไว้

ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า สิ่งที่เกิดปัญหา ตนไม่อยากจะโทษรัฐบาลที่แล้ว แต่การเริ่มรังวัดเริ่มตั้งแต่วันที่ 5 กรกฎาคม ก่อนที่รัฐบาลชุดนี้จะเข้ามา ดังนั้นสิ่งที่ตนจะแก้ปัญหาคือคือตนจะต้องทำความสะอาดบ้านของตนให้เรียบร้อย ในขณะที่เรากำลังจะทำประโยชน์ให้กับเกษตรกรก็เกิดปัญหาอย่างนี้ มันเป็นปัญหาที่กระทรวงกษตรฯต้องแก้ไข ขณะเดียวกันการทำงานเราเป็นรัฐบาลเดียวกัน และรัฐมนตรีทั้งสองกระทรวงมาจากพรรคเดียวกัน ตนไม่อยากให้เข้าใจว่าเป็นประเด็นการเมือง มันไม่ใช่ แต่เป็นความผิดพลาดในการทำงาน ที่ไม่คุยกัน เพราะถ้าคุยกันจะไม่เป็นปัญหา ฉะนั้นต่อไปนี้จะให้ปลัดทั้งสองกระทรวงต้องคุยกัน อธิบดีกรมอุทยานฯและเลขาธิการส.ป.ก.ต้องคุยกัน ขับเคลื่อนไปด้วยกัน ปัญหาที่มีขึ้นมาต้องแก้ร่วมกัน แต่ขณะเดียวกันเราก็มีกรรมการกลางก็คือกรมแผนที่ทหาร ที่จะแก้ปัญหาเรื่องนี้

เมื่อถามว่า พื้นที่ที่มีปัญหามีมากน้อยแค่ไหน และจะทำความเข้าใจประชาชนอย่างไร ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า พื้นที่ที่ตอนนี้เราต้องเร่งแก้ปัญหาคือ พื้นที่ที่เกิดเป็นประเด็น ที่ได้เอาเอกสารสิทธิ์ให้เกษตรกรเข้าทำกินทั้ง 5 แปลง ตนสั่งการแล้วว่าให้ตรวจสอบความถูกต้อง สำคัญที่สุดต้องมีจิตใต้สำนึกว่ามันเป็นสภาพป่า แล้วไปจัดสรรได้อย่างไร ตนไม่เห็นด้วย และเห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่กรมอุทยานฯที่ชี้แจงตนที่ จ.นครราชสีมา ซึ่งมีเหตุมีผล และตนลงพื้นที่ก็เห็นสภาพเป็นป่าที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว เพราะเกษตรกรไม่ได้เข้าทำกินมานาน จิตสำนึกมนุษย์ไม่ควรจะจัดให้เกษตรกร อันนี้ตนจะตั้งกรรมการสอบสวนแน่นอน และเมื่อมีมูลว่าผิดก็ต้องดำเนินคดีอาญา

ถามอีกว่า ถ้ายกเลิกไปแล้ว เกษตรกรที่ทำกินจะต้องทำอย่างไร ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า มันเป็นพื้นที่ที่ทำภาคการเกษตรอยู่แล้ว มันต้องเป็นรายๆ ไป ซึ่งเป็นเรื่องที่กรมอุทยานฯและส.ป.ก.ต้องพูดคุยกัน และตนมีนโยบายอยู่แล้วว่าไม่ควรจัดพื้นที่แนวกันชน อย่างน้อยเราก็ได้ช่วยกันอนุรักษ์ป่าไว้ สำหรับพื้นที่ที่เกิดข้อพิพาทตนปรึกษา รมว.ทส.แล้วว่าหากเป็นพื้นที่ส.ป.ก. เราจะทำเป็นพื้นที่ประเภทป่าชุมชนเพื่อรักษาป่า

ด้าน นายจตุพร กล่าวว่า ในส่วนของ ทส. เน้นย้ำการดำเนินการตามหลักกฎหมายก่อน หลังจากนี้การดำเนินการจึงต้องมีคณะกรรมการเข้าไปเดินสำรวจในพื้นที่ โดยกรมอุทยานฯ จะทำการสำรวจทั้งหมดในแนวเขตที่ออก ส.ป.ก. ซึ่งจะดูทั้งหมดว่าส่วนไหนที่มีปัญหา ทั้งนี้ ทส. ยืนยันทุกอย่างตามหลักกฎหมาย ข้อเท็จจริง และหลักวิทยาศาสตร์

นายวิณะโรจน์ กล่าวถึงกรณีการย้ายเจ้าหน้าที่ส.ป.ก. นครราชสีมา 6 คน ออกนอกพื้นที่ว่า กรณีเกิดปัญหาความโปร่งใสการทำงาน จะต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ซึ่งกรณีนี้เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.นครราชสีมา จึงต้องย้ายออกจากพื้นที่ ทั้งหมดเพื่อความโปร่งใส และให้การสอบสวนเป็นไปด้วยความยุติธรรม.