“อ๋อ ลูกเสือๆ”
นี่คือคำตอบสั้น ๆ แต่เต็มไปด้วยความหมายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พี่ใหญ่แห่ง“บูรพาพยัคฆ์” ต่อคำถามที่ถาโถมเข้าใส่จากนักข่าวถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา กับข้อเรียกร้องให้หยุดคุกคามประชาชน ยุบสภาฯ และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ รวมทั้งปฏิกิริยาชู 3 นิ้วของนักเรียนมัธยมฯ ในหลายโรงเรียนทั่วประเทศ ระหว่างการเคารพธงชาติ
พล.อ.ประวิตร บอกด้วยว่า เรื่องนี้จะต้องมีคนดูและลงไปทำความเข้าใจ สร้างความเข้าใจให้กับเด็กๆ ส่วนจะลุกลามขยายเป็นวงกว้าง แล้วทางกระทรวงศึกษาธิการต้องลงไปดูด้วยหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับคนที่สนับสนุน ขอให้ลองคิดดูให้ดีว่าการทำในลักษณะนี้เหมาะสมหรือไม่
ต่างจากท่าทีของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อดีตประธานคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่เต็มไปด้วยความขุนมัวต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ยกกำลังสองการศึกษาไทย สู่ความเป็นเลิศ” (Thailand Education Eco-System) และการแสดงวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนการศึกษาไทย ณ ห้อง Auditorium ชั้น 6 อาคารทรู ดิจิทัล พาร์ค เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา
โดยกล่าวก่อนเริ่มแสดงวิสัยทัศน์ว่า สื่อมวลชนเข้ามาฟังเลยหรือถ้าไม่เข้ามาก็จะไม่พูดไม่ให้สัมภาษณ์เพราะเรื่องนี้เป็นความเป็นความตายของประเทศทำให้ผู้เข้าร่วมฟังการแสดงวิสัยทัศน์ถึงกับงงในคำพูดของนายกฯ
พล.อ.ประยุทธ์ ยังคงเชื่อว่ามีคนอยู่เบื้องหลังม็อบประชาชนปลดแอก แถมยังบอกให้ไปดูใครเข้าไปในพื้นที่ชุมนุม ถามกลับสื่อ “ช่วยตอบหน่อย ชุมนุมซ้ำเติมเศรษฐกิจหรือไม่”
เมื่อถามถึง กลุ่มผู้ชุมนุมมีการตีกรอบข้อเรียกร้องภายในเดือนกันยายน นายกฯ กล่าวว่า “จะตีกรอบก็เรื่องของเขา ผมต้องพูดตามกฎหมายพูดอย่างอื่นไม่ได้”
นายพิภพ ธงไชย อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) อดีตประธานคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.) ระบุว่า ท่าทีของนายกรัฐมนตรีที่มีต่อการชุมนุมที่เกิดขึ้น เป็นมุมมองของผู้มีอำนาจที่เป็นอย่างนี้มาตลอด ไม่มองปัญหา มองแต่คนอยู่เบื้องหลัง ดูถูกนักศึกษา ไม่สามารถที่จะรวมตัวได้ แทนที่จะมองประเด็นปัญหาข้อเรียกร้องที่เขาเรียกร้องมา ถ้าเป็นจริงก็แก้ไข โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวและแสดงออกของนักเรียนชูสามนิ้วที่เกิดขึ้น หากครูใช้ความรุนแรงจะทำเรื่องให้บานปลายอย่างนึกไม่ถึง
นายพิภพ ยังเตือนให้พรรคการเมืองปลีกตัวออกจากการชุมนุม และให้วางตัวเหมือนกับนาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แลนายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาฯพรรค เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าอยู่เบื้องหลัง จะทำให้การชุมนุมกลายเป็นเรื่องขัดแย้งทางการเมืองระหว่างรัฐบาลกับฝ่ายค้าน
การชุมนุมที่เกิดขึ้นถือเป็นพัฒนาการชุมนุมเร็วตามความเร็วแสง คนรุ่นใหม่อยู่กับเผด็จการ 6 ปี คงเกิดอาการมองไม่เห็นอนาคตตัวเอง จึงขอเข้ามามีกำหนดอนาคตตัวเอง เขาเห็นว่ารัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตยสืบทอดอำนาจ
อดีตแกนนำพันธ์มิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ย้ำว่า หากกลุ่มเคลื่อนไหวยืนหยัดในข้อเรียกร้อง 3 ข้อ โดยไม่ไปพาดพิงสถาบัน ก็จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนมากขึ้น ปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นตัวชี้ขาด อย่างที่บอกเมื่อนักเรียน นักศึกษามองไม่เห็นอนาคตตัวเอง และเมื่อชนชั้นกลางเริ่มมองไม่เห็นอนาคตก็จะออกมาชุมนุมรวมกับลูกๆ
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์รัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า ขณะนี้ต้องทำสิ่งแรกคือ ต้องไม่ใช้ความรุนแรงทั้งผู้มีอำนาจและผู้ชุมนุม 2.ต้องมีเวทีพูดคุยเพื่อหาทางออกรวมกัน และสร้างความเข้าใจรวมกันไปด้วย แต่ถ้ารัฐบาลจัดเวที ซึ่งจัดโดยรัฐที่อยู่ตรงข้ามกับรัฐ คนอาจจะเข้ามามีส่วนรวมน้อย ควรมีองค์กรที่ได้รับความเชื่อมั่นจากทุกฝ่ายเข้ามาจัดเวทีพูดคุย เช่น สถาบันศึกษา หรือกลไกรัฐสภา เปิดอภิปรายโดยไม่ลงมติเพื่อระดมความเห็น ประการที่ 3 คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งวันนี้สังคมน่าตกผลึกแล้วว่า รัฐธรรมนูญปี พ.ศ.2560 ต้องแก้ไข คณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เห็นควรให้มีการแก้ไขมาตรา 256 เพื่อให้สามารถยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับได้
รศ.ดร.ยุทธพร ระบุด้วยว่า หากนายกรัฐมนตรีไม่เร่งแก้ไขปัญหาการชุมนุมที่เกิดขั้น หากปัญหาเศรษฐกิจเข้ามาสมทบ จะทำให้เกิดวิกฤตซ้อนวิฤตได้
ใหม่ อิทธิพันธ์ บัวทอง
ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย อดีตบรรณาธิการบริหารข่าวช่อง 8 RS mall หมายเลข 27 , อดีตบรรณาธิการบริหารสถานีโทรทัศน์ true4U ดิจิตอลทีวี, กรรมการสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย อดีตผู้อำนวยการข่าว PostTV, อดีตบรรณาธิการข่าว TPBS อดีตรองผู้อำนวยฝ่ายข่าว TNN24 อดีตบรรณาธิการข่าวการเมืองสถานีข่าว TNN24 และASTV อดีตบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์วัฏจักร