กรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำวุฒิสภา :ส่งข้อสังเกตต่อพรก. เงินกู้ ล่วงหน้า

กรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำวุฒิสภา :ส่งข้อสังเกตต่อพรก. เงินกู้ ล่วงหน้า

[ตอนที่ 1 จาก 3 ตอนจบ]

อีกเพียงสามสัปดาห์ก็จะเปิดสมัยประชุมรัฐสภา

ถึงเวลานั้น พระราชกำหนด 4 ฉบับที่จะมาเข้าห้องประชุมของสภาเพื่อขอความเห็นชอบให้กลายเป็นพระราชบัญญัติก็คงถูกใช้งานไปพอสมควรแล้ว

ทั้งนี้เพราะ พระราชกำหนดทั้งสี่ฉบับได้ลงประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ18เมย.ที่ผ่านมา…แปลว่าได้ใช้ไปราวหนึ่งเดือนก่อนจะถึงวันเปิดสมัยประชุม

ซึ่งก็ถูกต้องแล้ว

มีบาซูก้าการเงินการคลังมาเพื่อใช้ไปยิงไม่ใช่ให้ไว้รอถามความเห็นชอบจากสภา

อย่างไรก็ดี..มีข้อสังเกตที่หากจะรอไปอภิปรายในสภาก็จะไม่ทันการ

คณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ของวุฒิสภาจึงมีการประชุมอภิปรายเรื่องนี้

และทำให้มีข้อสังเกตบางประการที่ควรนำเสนอต่อผู้รับผิดชอบ ก่อนเปิดสมัยประชุมดังนี้

1.พรก.ที่ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม 1 ล้านล้านบาทนั้น

เมื่อได้มีระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการดำเนินการตามแผนงานหรือโครงการฯ ที่จะใช้เงินกู้ก้อนนี้ออกมาแล้ว

ความหวังว่าเงินกู้ก้อนใหญ่นี้จะถูกนำไปใช้กับโครงการดีๆได้แค่ไหน ถูกระบุในมาตรา7 ของพรก.นี้ มอบหน้าที่ไว้กับ คณะกรรมการกลั่นกรอง ที่มี

เลขาธิการสภาพัฒน์เป็นประธาน

มีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิภายนอกอีก 5 คนมาร่วมกับคณะกรรมการนี้ซึ่งเป็นข้าราชการประจำตามตำแหน่ง

ข้อสังเกตแรกก็คือ

การจะใช้ระเบียบนี้มาทำงานกับเงินกู้ถึงหนึ่งล้านล้านบาท…จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับกติกาเพียงพอ หรือไม่

หากเทียบกับระบบคณะกรรมการของกิจการขนาดใหญ่ๆ

สิ่งที่ใช้กำกับการทำงานของคณะกรรมการระดับนี้คือ

“กฎบัตร”

กฎบัตรนั้นจะเรียกใหม่ว่าอะไรก็คงได้..ขอเพียงให้เป็นกติกาที่คณะกรรมการต้องเคารพกันเองให้ดี ..เป็นอันใช้ได้

เพราะมีบางประเด็นที่พรก.กู้เงินไม่ได้ระบุเอาไว้..เช่น ไม่ระบุคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้เป็นกรรมการภายนอก5ท่านนี้

อนึ่ง กฎบัตรอาจระบุไปต่อได้ ถึงจุดเน้นว่า เงินกู้นี้จะมุ่งใช้เพื่อนำไปสู่ความยั่งยืน ความพอเพียง อย่างไร

จะตั้งเงื่อนไขให้หน่วยราชการที่จะเสนอขอรับเงินกู้นี้ ไปทำโครงการว่าต้องได้รับการรับรองโดยชุมชน โดยประชาชนในสัดส่วนแค่ไหน

โครงการที่จะใช้ระดับพื้นที่ใด ก็ควรให้ประชาคมบริเวณนั้นเห็นพ้องมาก่อนหรือไม่…

กฎบัตรอาจสามารถระบุ วิธีรายงานผลการพิจารณาประจำสัปดาห์..แสดงรายงานประจำของรายภาค..หรือประจำหมวดการใช้จ่ายได้สม่ำเสมอแค่ไหน..เพื่อชาวบ้านจะได้ติดตามข่าวสารทัน ว่าอะไรผ่านกรรมการนี้ก่อนจะไปสู่คณะรัฐมนตรีอนุมัติและดำเนินการต่อได้

จะมีการตั้งโฆษกคณะกรรมการฯแถลงข้อมูลเป็นประจำได้หรือไม่

จะกำหนดวิธีการใช้เงินแบบจ้างแรงงานท้องถิ่น..จ้างคนว่างงานมาทำงานเพราะโควิดมาทำประโยชน์สาธารณะได้แค่ไหน

กรรมการจะให้ทำโครงการเสนอเพื่อพัฒนาอารยะสถาปัตย์ในสัดส่วนสักเท่าไหร่..

สามารถเสนอโครงการจ้างหนุ่มสาวคืนถิ่นเพื่อตรึงให้อยู่ในที่ตั้งต่อไปเพื่อทำสิ่งที่เป็นคุณแก่การพัฒนาระยะถัดไปได้แค่ไหน เช่นทำสินค้าท้องถิ่นให้ขึ้นออนไลน์ไปสู่ระดับสากล

นักศึกษาจบใหม่ปีนี้ห้าแสนคน มีแนวโน้มคือจะว่างงานพร้อมกัน กรรมการจะตั้งเป้าให้เกิดการจ้างให้ไปทำหรือสำรวจหาอะไรให้ได้ประโยชน์แก่ท้องที่ตามท้องถิ่นของตนบ้าง

จะให้ทำโครงการปลูกเองกินเองและสามารถมีแหล่งน้ำใช้เองได้มากๆหรือเปล่า..

ทำ10แนวทางพัฒนาเพื่อท้องถิ่นพึ่งพาตนเองด้วยการจัดการน้ำได้เต็มทุกพื้นที่ เลยได้ไหม ทั้งบ่อบาดาลน้ำตื้น สระน้ำ หอถังพักน้ำ ระบบกระจายน้ำ ฝายเล็ก และบ่อเติมน้ำลงชั้นใต้ดินอย่างถูกหลักวิชาการ

จะให้มีโครงการเกษตรแลก”ของดี”ระหว่างภาคระหว่างกลุ่มอาชีพได้หรือเปล่า

เช่น เมืองสนามบินจับคู่แลกสินค้ากัน โดยใช้ประโยชน์จากใต้ท้องเครื่องบินที่บินเข้าออก

เมืองที่ใช้ทะเลเดียวกันจะส่งของข้ามฟากมาแลกกันใช้จะทำได้ไหม

เมืองที่ยังต้องล้อคดาวน์ผู้คน..แต่ก็ยังสามารถส่งสินค้าเข้าออกได้เพื่อพยุงเศรษฐกิจในท้องที่ ควรทำกันยังไง..

เพราะเรื่องอย่างนี้จะก่อให้เกิดโลจิสติคใหม่..หรือเสริมสภาพคล่องให้โลจิสติคเดิมให้คงอยู่ได้เข้มแข็งต่อไป

เราต้องไม่ลืมว่าเงินกู้1ล้านล้านบาทหนนี้ไม่ใช่เงินกู้เพื่อ

“ลงทุนพัฒนาอย่างงบปกติ”

แต่กู้มาเพื่อแก้ไข เยียวยา ฟื้นฟูไทยจากผลกระทบโควิด19

ดังนั้น โครงการขนาดใหญ่ หรือมองการณ์ไกลเกินเหตุ ก็น่าจะไม่ใช่เป้าประสงค์การมีพระราชกำหนดชุดนี้

ยิ่งถ้าปล่อยให้ส่วนราชการต่างคนต่างยื่น

ไม่เพียงแต่ประชาชนจะง่ายต่อการถูกมองผ่าน ขาดการมีส่วนร่วม

เพราะกู้มาเพื่อพวกเขา “ประชาชนผู้รับผลกระทบ” นี่เอง มิใช่หรือ

แต่ในเมื่อระเบียบการยื่นโครงการขอใช้เงินกู้ระบุไปแล้วว่า ต้องเป็นหน่วยราชการยื่นเท่านั้น

จึงต้องส่งความคิดดีๆมาร่วมตั้งฐานคิด

มิเช่นนั้นจะทำให้คณะกรรมการชุดนี้มีภาระราวกับเป็นงานแบบสำนักงบประมาณตามภาระปกติไปเปล่าๆ

และที่สำคัญ..ต้องระมัดระวังอย่าให้กลายเป็นการกู้มาแล้วเผลอให้คืนแก่หน่วยที่ตัดคืนงบประมาณแผ่นดินปกติมาเข้างบกลางเพื่อสู้โควิดราว20% ที่กำลังเกิดขึ้นด้วย

 

ข้อสังเกตที่2

เมื่อพิจารณาข้อความในพระราชกำหนด การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ

ที่จะกู้มา 4แสนล้านบาท เพื่อเป็นกองทุนเข้าไปเลือกใส่สภาพคล่องในตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน

อันนี้ให้ก.คลังกับแบงก์ชาติร่วมกันดำเนินงาน

ข้อสังเกตเบื้องต้นก็คือ ทำไมถึงต้องพยุงตราสารหนี้ มิกลัวว่าจะถูกมองว่า อุ้มคนรวยหรือ

เพราะมีแต่คนรวยเท่านั้นที่ออกหุ้นกู้ในตลาดตราสารได้

พยุงด้วยเงินกู้ของชาติไปช่วย มิเป็นการพาคนไทยทุกคนร่วมภาระไปหน่อยหรือเปล่า

แต่เมื่อคำนึงว่า คนจน คนเก็บหอมรอมริบ จะด้วยมีกฎหมายบังคับให้ออม เป็นคนไม่รวยเยอะมากกว่า

มนุษย์เงินเดือนเอกชนแทบทุกคนส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม

ข้าราชการทุกระดับส่งเงินเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือ กบข.

ชาวบ้านฝากเงินสหกรณ์ออมทรัพย์

ผู้บริหารกองทุนที่สะสมจากคนอยากออมเพื่ออนาคตเหล่านี้ ล้วนแต่เอากองทุนไปซื้อตราสารหนี้ เพราะผลตอบแทนสูงกว่า ฝากไว้ในสถาบันการเงินแน่

จุดนี้เองที่ถ้าเสาไฟใหญ่ของระบบตราสารหนี้เซไป

สายไฟที่เชื่อมผูกไว้ย่อมลากเอาเสาเล็กเสารองของชุมชนและคนออมเซไปด้วย

ดังนั้น การกู้มาเพื่อเลือกหาจุดที่จะฉีดเงินเข้าเสริมเพื่อสกัดไม่ให้เกิดเหตุแบบที่อธิบายข้างต้นไม่เกิด หรือเซน้อยหน่อย

การเลือกฉีดเงินใส่จุดไหนจึงสำคัญ อ่อนไหว และเสี่ยงเหมือนกัน เพราะถ้า”ช่างสายไฟ”ในการนี้ทำพลาด ไม่เพียงแต่จะทำสายไฟหรือเสาไฟร่วง แต่ยังจะถูกไฟดูดด้วยคดีความเกินกว่าคำว่า สาหัส

มาตรา 9 ของพรก.นี้กำหนดให้มี2คณะกรรมการรับผิดชอบ เป็น “ช่างไฟฟ้าแรงสูง “ตามพรก.นี้

คณะแรกไว้กำกับกองทุน4แสนล้านบาทและให้กรรมการนี้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ไปจัดการกองทุนขนาดใหญ่นี้

แค่เลือกบริษัทไหนมาทำก็คงถูกถามกันว่าเลือกมาโดยยึดหลักอะไร มีค่าตอบแทนอะไรหรือไม่อย่างไร

กรรมการชุดนี้มีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน มีผู้ว่าธนาคารชาติเป็นรองประธาน

และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอีก3คนมาร่วมนั่งกับฝ่ายกรรมการจากระบบการเงินการคลังของราชการและธนาคารชาติ

เปรียบเป็นทีมวิศวกรรมระบบไฟฟ้าคงพอได้

แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดลักษณะต้องห้ามของกรรมการไว้..โดยเฉพาะของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสามท่านนี้

เพราะท่านอาจมีญาติมิตรและหรือลงทุนไว้ในวงการการเงินและตลาดตราสารหนี้

จึงควรจะขอส่งข้อคิดมาทัก..ให้ระมัดระวังอย่าให้ถูกวิจารณ์ได้ในภายหลังว่ากรรมการมีสายสัมพันธ์ที่อาจมีประโยชน์ทับซ้อนได้

เพราะแม้ พรก.นี้ให้รมต.คลังออกระเบียบกำหนดเรื่องวาระดำรงตำแหน่ง และการพ้น และการประชุมของคณะกรรมการ

แต่ไม่ได้ระบุให้มีหน้าที่กำหนดลักษณะต้องห้ามไว้

ในเมื่อกฎหมายนี้  ไม่ได้ระบุเรื่องการป้องกันประโยชน์ทับซ้อนไว้ชัดนัก แต่คณะกรรมการ ตามมาตรา9 ซึ่งมีหน้าที่ประกาศนโยบาย และแนวทางดำเนินงาน  จะหยิบยืมหลักการทำนองนี้มาจากกฎหมายอื่นๆมาควบคุมกำกับตนเองในรูปแบบ”กฎบัตรหรือชื่อเรียกอื่นที่เห็นควร”เพื่อให้สาธารณะสบายใจก็จะดียิ่ง

อีกคณะกรรมการตามพรก.ที่จะกู้มาช่วยพยุงตลาดตราสารหนี้ ปรากฎอยู่ในมาตรา 12 ซึ่งเปรียบเป็นทีมช่างไฟฟ้าที่ขึ้นรถกระเช้ายกตัวขึ้นไปที่เสาไฟฟ้าแรงสูง คงได้

พรก.นี้ให้รองผู้ว่าธนาคารชาติเป็นประธานกรรมการลงทุน มีผู้แทนกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และผู้แทนสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะของกระทรวงการคลังมานั่งร่วม และมีกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่ผู้ว่าการธนาคารชาติตั้งมาอีก2คนมานั่งประกอบ

ซึ่งก็ไม่ปรากฏในกฎหมายว่าจะต้องเคร่งครัดเรื่อง ลักษณะต้องห้ามและการระมัดระวังเรื่องประโยชน์ทับซ้อนกี่ทอดแค่ไหน

ดังนั้น”กฎบัตร”ที่ควรประกาศโดยคณะกรรมการชุดนี้หรือจากคณะกรรมการกำกับกองทุน4แสนล้านฯตามมาตรา9ก็อาจพอทดแทนได้

การทำเรื่องไฟฟ้าแรงสูงต้องมีวินัยมาก

การจัดการกองทุน4แสนล้านบาทก็น่าจะต้องมีวินัยการทำงานที่เคร่งครัดไม่น้อยไปกว่ากัน

ข้อสังเกตที่3

พรก.การรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินฯ มาตรา4 วรรคสาม ระบุว่าพรก.นี้ไม่กระทบหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์และคณะกรรมการตลาดทุนตามที่มีกฎหมายกำหนด

เว้นแต่ที่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นเป็นการเฉพาะในพระราชกำหนดนี้

ข้อสังเกตจึงมีว่า อะไรคือสิ่งที่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น ที่เป็นการเฉพาะในพรก.นี้?

เพราะกว่าที่จะพัฒนาหลักการกำกับและวิธีจัดการของ กฎหมายและระเบียบการควบคุมกำกับของกลต.และกฎหมายตลาดทุนนั้น ได้อาศัยการตีความ การพัฒนาระบบ มานานหลายๆสิบปี

อยู่ๆมีช่องแยกออกจากวิธีปกติที่พัฒนามาเป็นลำดับได้โดยความวรรคนี้ในพรก.นี้ ซึ่งยังอาจดูไม่รู้ชัดว่าประตูฉุกเฉินนี้ติดตั้งที่ชั้นไหน ของตึกและพาออกไปสู่อะไรบ้าง

จึงย่อมใส่ใจห่วงใย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..ในภาวะที่มาตรา 20 ของหมวด3ของพรก.นี้กำหนดว่า ถ้าการไปช่วยซื้อหุ้นกู้เอกชนขึ้นมาตามพรก.นี้แล้วต่อมามีกำไรก็ให้นำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน

แต่ถ้าขาดทุนเสียหายไป ให้กระทรวงการคลังชดเชยให้ธนาคารชาติไม่เกิน4หมื่นล้านบาท

ดังนั้นจึงเกิดคำถามว่าถ้าความเสียหายเกิน4หมื่นล้านจะให้ธนาคารชาติทำอะไรต่อไม่ได้บอกไว้

ถ้ามีการแสดงทางเลือก วิธีที่จะแก้ไขหรือแสดงทางออกไว้ล่วงหน้า ก็จะทำให้เข้าใจได้มากขึ้น

ยิ่งเมื่อพรก.มาตรา5 ระบุว่า ในกรณีมีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพรก.นี้ ให้รมต.คลังวินิจฉัย และระบุว่าคำวินิจฉัยของรมต.คลังให้ถือเป็นที่สุด และให้ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำวินิจฉัยนั้น

ข้อนี้ จึงเป็นห่วงรัฐมนตรีคลังที่ต้องแบกรับภาระหนักหนาอยู่พอสมควร

บทเรียนคราวต้มยำกุ้งที่ไทยเข้าต่อสู้ค่าเงินบาทยังเป็นบทเรียนที่ต้องระวังไว้เสมอ

บันทึกนี้เขียนขึ้นจากการประมวลความคิดข้อทักข้อสังเกตจากการประชุมคณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ของวุฒิสภา

ที่เรียกประชุมกันเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเท่านั้น

บางประเด็นอาจมีผู้รู้ในระบบบริหารราชการแผ่นดินมีคำตอบได้อยู่แล้ว

คืออาจตั้งใจจะรอไปตอบในช่วงพรก.เข้าถึงรัฐสภา

แต่ถ้าหากสามารถมีการสื่อสารสาธารณะระหว่างระดับนโยบายไปพลางระหว่างสภาใกล้จะเปิดสมัยประชุม ก็คงจะเป็นการใช้เวลาของประเทศที่คุ้มค่ามากจริงๆ

สำหรับพระราชกำหนดอีก2ฉบับ

ฉบับหนึ่งเป็นพรก.ว่าด้วยเรื่องการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด19

คณะกรรมาธิการเห็นว่าสามารถรอไปอภิปรายแนะนำในช่วงที่กฎหมายมาถึงสภาได้ เพราะการให้กู้ยืมจากธนาคารชาติไปถึงผู้ประกอบการจริงนั้น มักใช้เวลาประเมินความสามารถชำระคืนเงินกู้กันนานพอควรอยู่

ส่วนอีกฉบับเป็นพรก.ว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแม้อาจมีผู้อภิปรายจากบางมุมที่น่าสนใจได้ แต่ก็รอไปอภิปรายเมื่อกฎหมายมาถึงสภาได้เช่นกัน

คณะกรรมาธิการแก้ไขปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ ของ วุฒิสภา

28 เม.ย. 2563